กีฬาฟุตบอล

กีฬาฟุตบอล นับได้ว่า ฟุตบอล เป็นกีฬาที่มีคนมีความสนใจอยู่ทั่วมุมโลก เห็นได้ชัดได้จากช่วงเวลาที่มีการประลองรายการใหญ่อย่างฟุตบอลโลก หรือฟุตบอลยูโร ก็จะมีบริษัทต่าง ๆ ผลิตผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการประลองออกมาขายตอบโจทย์ในสิ่งที่ต้องการของแฟนบอลในตลาดเสมอ ยกตัวอย่างเช่น แก้วฟุตบอลโลก เสื้อแข่ง เป็นต้น จึงเป็นหลักฐานชี้ชัดว่า กีฬาประเภทนี้ ได้รับความนิยมไปทั่วทั้งโลกจริง ๆ โดยนอกเหนือจากนั้นประเทศไทย ที่พลเมืองให้ความสนใจกีฬาฟุตบอลเป็นอันดับ 1 อยู่แล้ว ด้วยประการฉะนี้ หมวดเราจะมาทำวิชาการจักกับกีฬาฟุตบอลกัน เพื่อที่จะที่จะมีผลให้ผู้อ่านกำเนิดอรรถรสสำหรับเพื่อจะการรับชมการประลองแข่งกว่าเดิม

 

สมัครสมาชิก betflix

กีฬาฟุตบอล กีฬาฟุตบอล ถ้อยคำอังกฤษ ประวัติฟุตบอล

ฟุตบอล (Football) หรือซอคเก้อร์ (Soccer) เป็นกีฬาที่มีผู้ให้ความสนใจที่จะชมการประลองและเข้าร่วมเล่นจำนวนจำนวนเยอะที่สุดในโลก @BFLIX88 ชนชาติใดเป็นผู้เกิดกีฬาจำพวกนี้อย่างแท้จริงนั้นไม่อาจจะการันตีได้แน่ๆ เพราะเหตุว่าแต่ละชนชาติต่างยืนยันว่าเกิดจากประเทศของตน แต่ในประเทศชาวต่างประเทศเศสและประเทศอิตาลี ได้มีการละเล่นชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ซูเลอ” (Soule) หรือจิโอโค เดล คาซิโอ (Gioco Del Calcio) มีลักษณะการเล่นที่คล้องจองกับกีฬาฟุตบอลในตอนนี้ ทั้งคู่ประเทศคงจะแย้งกันว่ากีฬาฟุตบอลหยิบเกิดจากประเทศของตน อันเป็นการหาข้อยุติมิได้ เหตุเนื่องมาจากขาดหลักฐานรับรองอย่างแท้จริง ดังนี้ ประวัติของกีฬาฟุตบอลที่มีหลักฐานที่แท้จริงสามารถจะกล่าวถึงได้ เนื่องมาจากว่าการเล่นที่มีข้อตกลงการแข่งขันชิงชัยที่แน่นอน คือประเทศอังกฤษด้วยเหตุว่าประเทศอังกฤษตั้งสมาคมฟุตบอลในปี พ.ศ. 2406 และฟุตบอลอาชีพของอังกฤษกำเนิดขึ้นในปี พุทธศักราช 2431

วิวัฒนาการด้านฟุตบอลจะเป็นไปพร้อมกับความก้าวหน้าก้าวหน้าของผู้คนโดยตลอด ความ เป็น มา ของ กีฬา ฟุตบอล แทง บอล ออนไลน์ ขั้น ต่ํา 20 ต้นเกิดกีฬาดวงอาทิตย์ออกไกลจะได้รับอิทธิพลมาจากสงครามครั้งสำคัญๆ เช่น สงครามพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ได้นำเอา “แกลโล-โรมัน” (Gello-Roman) พร้อมกีฬาต่างๆ เข้ามาสู่เมืองกอล (Gaul) อันเป็นเบื้องต้นส่วนใดส่วนใดส่วนหนึ่งของกีฬาฟุตบอลในอนาคต และการเล่นฮาร์ปาสตัม (Harpastum) ได้ถูกดัดเปลี่ยนมาเป็นกีฬาซูเล

ที่มาที่ไปกีฬาฟุตบอลในประเทศไทย

กีฬาฟุตบอลในประเทศไทย ได้มีการเล่นตั้งแต่สมัย “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสิทร์ เนื่องด้วยยุครัชกาลที่ 5 พระองค์ได้ส่งพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าหลานยาเธอ และข้าราชบริพารไปทำความเข้าใจวิชาการด้านต่างๆ ที่ประเทศอังกฤษ และคนที่นำกีฬาฟุตบอลกลับมายังประเทศไทยเป็นคนแรกคือ “เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)” หรือ ที่ประชนชาวไทยมักเรียกชื่อสั้นๆว่า “ครูเทพ” ซึ่งท่านได้แต่งเพลงกดังกีฬาที่พร้อมไปด้วยเรื่องน้ำใจนักกีฬาอย่างแท้จริง เชื่อกันว่าเพลงกเช่นเดียวกับกีฬาที่ครูเทพแต่งไว้นี้ต้องเป็น “เพลงอมตะ” และต้องมีให้ได้ที่จึงต้องควรน่าจะอยู่คู่ฟ้าไทย

เมื่อปี พุทธศักราช 2454-2458 ท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการครั้งแรก เมื่อท่านได้นำฟุตบอลเข้ามาเล่นในประเทศไทยได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆจำนวนไม่น้อย โดยคนจำนวนไม่เล็กน้อยพูดว่า ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ไม่เหมาะกับประเทศที่มีอากาศร้อน เหมาะกับประเทศที่มีอากาศหนาวมากมายยิ่งกว่า และเป็นเกมที่กระตุ้นให้เกิดอันตรายต่อผู้เล่นและผู้ชมได้ไม่ยาก ซึ่งข้อวิจารณ์ดังกล่าวข้างต้นหากมองอย่างผิวเผินน่าจะคล้อยตามได้ แต่ต่อหลังจากนั้นข้อพูดหาดังกล่าวมาแล้วข้างต้นข้างต้นก็ได้เช่นกันด้วยเช่นกันค่อยหมดไปกระทั่งกลับกลายเป็น กีฬาที่ได้รับความนิยมที่สุดของราษฎรชาวไทยและชาวโลกทั่วทุกมุมโลก ซึ่งมีความก้าวหน้าเสมือนกำลังอยู่ช่วงปรับปรุงปรับแต่งข้อมูลต่อไปนี้

พุทธศักราช 2440 รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จนิวัติพระนคร

กีฬาฟุตบอลได้รับความพอใจมากขึ้นจากบรรดาข้าราชการบรรดาครูน่าจะารย์ ตลอดจนชาวอังกฤษในประเทศไทยและผู้ให้ความสนใจชาวไทยจำนวนมากขึ้นเป็นชั้น กอร์ปกับครูเทพท่านได้เพียรบากบั่นปลูกฝังการเล่นฟุตบอลในโรงเล่าศึกษาเล่าเรียนอย่างจริงจังและแพร่หลายมากในจังหวะต่อแล้วต่อจากนั้น

พ.ศ. 2443 (รศ. 119) การประลองฟุตบอลเป็นทางการครั้งแรกของไทยได้กำเนิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 2 ก.พ. พ.ศ. 2443 (รศ. 119) ณ สนามหลวง ซึ่งเป็นสถานที่ออกกำลังกายและประสมงานพิธีต่างๆการแข่งขันชิงชัยแข่งฟุตบอลคู่ความเป็นมาศาสตร์ของไทย ตอน “ชุดบางกอก” กับ “ชุดกรมเรียนรู้ธิการ” จากกระทรวงธรรมการหรือเรียกชื่อการประลองแข่งครั้งนี้ว่า “การประลองแข่งขันฟุตบอลตามข้อบังคับของแอสโซซิเอชั่น” เพราะครั้งก่อนนี้เรียกว่า “แอสโซซิเอชั่นฟุตบอล” (ASSOCIATIONS FOOTBALL) สมัยบัดนี้อาจเรียกได้ว่า “การแข่งขันฟุตบอลของสมาคม” หรือ “ฟุตบอลสมาคม” ผลการแข่งขันชิงชัยแข่งฟุตบอลนัดพิเศษดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นแสดงตัวได้ชัดว่า “ชุดกรมทำความเข้าใจธิการ” เสมอไปกับ “ชุดบางกอก” 2-2 (ครึ่งแรก 1-0) หลังต่อจากนั้นครูเทพท่านได้วางแผนการจัดการแข่งขันฟุตบอลผู้เรียนอย่างเป็นทางการพร้อมแปลกติกาฟุตบอลแบบสากลมาใช้สำหรับเพื่อการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนครั้งนี้ด้วย

กีฬาฟุตบอล พุทธศักราช 2444 (รศ. 120) หนังสือวิทยาจารย์ เล่มที่ 1

ขณะที่ 7 เดือนพ.ค. พุทธศักราช 2444 ได้ตีพิมพ์เผยแพร่เรื่องข้อตกลงการแข่งขันชิงชัยฟุตบอลสากลและการแข่งขันอย่างเป็นแบบแผนสากล
การแข่งขันฟุตบอลเด็กนักเรียนครั้งแรกของประเทศไทยได้กำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2444 นี้ ผู้เข้าชิงชัยจะต้องเป็นผู้เรียนชายอายุไม่เกิน 20 ปี ใช้วิธีจัดการประลองแข่งแบบน็อกเอาต์ หรือแบบแพ้คัดออก (KNOCKOUT OR ELIMINATIONS) ภายใต้การทำงานจัดการแข่งขันของ “กรมเรียนรู้ธิการ” สำหรับทีมชนะเลิศติดต่อและทำการสื่อสารกัน 3 ปี จะได้รับโล่สิ่งทดแทนเป็นกรรมสิทธิ์

พุทธศักราช 2448 (รศ. 124) เดือนเดือนเดือนพฤศจิกายน สามัคยาจารย์ สมาคม ได้เกิดขึ้นครั้งแรกเป็นการแข่งขันชิงชัยแข่งฟุตบอลของบรรดาครูและสมาชิกครู โดยใช้ชื่อว่า “ฟุตบอลสามัคยาจารย์”

พุทธศักราช 2450-2452 (รศ. 126-128) ผู้ตัดสินฟุตบอลชาวอังชื่อเรื่อง “มร.อี.เอส.สมิธ” ก่อนหน้าที่ผ่านมานักฟุตบอลอาชีพได้มาทำการตัดสินในประเทศไทย เป็นณ ขณะ 2 ปี ทำให้คนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นอย่างมากครู-คงจะารย์ และผู้ให้ความสนใจได้ทำความรู้ความเข้าใจกติกาและสิ่งที่ต่างออกไปจากเดิมเพิ่มเติมมากยิ่งกว่าเดิม

พ.ศ. 2451 (รศ. 127) เกิดการจัดการแข่งขันชิงชัย “เตะฟุตบอลไกล” ครั้งแรก

พ.ศ. 2452 (รศ. 128) พระบาทสมเด็จพระจุลหน้าจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสวรรคต ช่วงวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2452 นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของผู้ช่วยเหลือฟุตบอลไทยในสมัยนั้น ซึ่งหลังจากนั้นในปีนี้ กรมศึกษาธิการก็ได้เหมือนกันด้วยเช่นกันประกาศใช้วิธีการแข่ง “แบบประสบกันหมด” (ROUND ROBIN) แทนเทคนิคและวิธีจัดการแข่งขันแข่งแบบแพ้คัดออกเพื่อที่จะคะแนนที่ใช้นับเป็นแบบของแคนาดา (CANADIAN SYSTEM) คือ ชนะ 2 คะแนน เสมอไป 1คะแนน แพ้ 0 คะแนน และยังคงใช้อยู่จนกระทั่งตอนนี้

ภายหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงมีความสนพระทัยกีฬาฟุตบอลเป็นอย่างมากถึงกับทรงกีฬาฟุตบอลเอง และทรงตั้งหมู่ฟุตบอลส่วนพระองค์เองชื่อเรื่องหมู่ “เสือป่า” และได้เสด็จพระราช ดำเนินประทับทอดพระเนตรการแข่งขันชิงชัยชิงชัยฟุตบอลเป็นพระราชกิจวัตรเสมอไปมา โดยเฉพาะมวยไทยพระองค์ทรงเคย ปลอมพระองค์เป็นสามัญชนขึ้นต่อยมวยไทยจนได้ฉายาว่า “พระเจ้าเสือป่า” พระองค์ท่านทรงพระปรีชาสามารถมาก จนเป็นที่ยกย่องของประชาชนทั่วๆไปจนตราบเท่ารายวันนี้

จากพระราชกิจวัตรของพระองค์รัชกาลที่ 6 ทางด้านฟุตบอลนับได้ว่าเป็นยุคทองคำของไทยอย่างแท้จริงอีกอีกทั้งที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเนื้อหาข้อมูลข่าวสารสารสาร หนังสือพิมพ์ และบทความไม่เหมือนๆทางด้านฟุตบอลเหมือนกับกำลังอยู่เวลาปรับปรุงแก้ไขปรับแก้ข้อมูลต่อแต่นี้ไป

พุทธศักราช 2457 (รศ. 133) พระยาโอวาทวรกิจ” (แหมผลพันชิน) หรือนามปากกา “ครูทอง” ได้เขียนบันทึกเรื่องราวกีฬา “เรื่องจรรยาของผู้เล่นและผู้ชมฟุตบอล” และ “คุณพระวรเวทย์ พิสิฐ” (วรเวทย์ ศิวะศริยานนท์) ได้เขียนบันทึกเหตุการณ์กีฬา “เรื่องการเล่นฟุตบอล” และ “พระยาพาณิชศาสตร์วิธาน” (อู๋ พรรธนะแพทย์) ได้เขียนเรื่องเล่ากีฬาที่หยิบอกจับจิตชาวไทยเป็นอย่างมาก “เรื่องอย่าเพื่อจะนักเลงฟุตบอล”

พ.ศ. 2458 (รศ. 134) ราษฎรชาวไทยมีความสนใจกีฬาฟุตบอลอย่างรวมไปถึง ต้นเหตุเพราะว่า กรมทำความรู้ความเข้าใจธิการได้พัฒนาขั้นตอนการเล่น เคล็ดเทคนิคจัดการแข่งขันชิงชัย การตัดสิน ข้อตกลงฟุตบอลที่สากลยอมรับ ตลอดจนกฎเกณฑ์ข้อจัดการงานชิงชัยที่รัดกุมกว่าที่เคยเป็น และผู้ใหญ่ในวงการให้ความสนใจอย่างแท้จริงนับตั้งแต่พระองค์รัชกาลที่ 6 เองลงมาถึงพระบรมวงศานุวงศ์จนถึงสามัญชน และชาวต่างชาติ และในปี พุทธศักราช 2458 ก็เลยได้มีการแข่งขันชิงชัยฟุตบอลจำพวกสโมสรครั้งแรกเป็นการชิงถ้วยพระราชทานและเรียกชื่อการประลองฟุตบอลชนิดนี้ว่า “การแข่งขันชิงชัยฟุตบอลถ้วยทองคำคำของหลวง” การแข่งขันแข่งขันฟุตบอลสโมสรนี้เป็นการแข่งขันตอน ทหาร-ตำรวจ-เสือป่า ซึ่งผู้เล่นจะจะต้องมีอายุเกินกว่าอันดับทีมผู้เรียน นับว่าเป็นการเพิ่มเติมชนิดการแข่งขันชิงชัยฟุตบอล

ราชกรีฑาสโมสร หรือสปอร์ตคลับ นับได้ว่าเป็นสโมสรแรกของไทย

และเป็นศูนย์รวมของชาวเมืองนอกในกรุงเทพฯ ซึ่งยังอยู่ในตอนนี้ และสโมสรสปอร์ตคลับเป็นใจกลางของกีฬาหลายจำพวกพวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นอย่างมากกีฬาฟุตบอลได้มีผู้เล่นลำดับชั้นชาติจากประเทศอังกฤษมาร่วมกลุ่มอยู่ผู้คนปริมาณไม่ใช้บางส่วน เป็นต้นว่า มร.เอ.พี.โคลปี. คงจะารย์โรงศึกษาราชวิทยาลัย นับได้ว่าเป็นทีมฟุตบอลที่ดี มีความพร้อมเพรียงมากทั้งทางด้านผู้เล่น งบโดยประมาณและสนามชิงชัยระเบียบ จึงควรจะเป็นเจ้าภาพให้กลุ่มต่างๆของไทยพวกเรามาเยือนอยู่บ่อยๆ นำไปสู่แนวทางการทำให้วงการฟุตบอลไทยในสมัยนั้นได้ปรับปรุงกว่าที่เคยเป็น และรัชกาลที่ 6 ทรงสนพระทัยโดยเสด็จมาเป็นองค์ผู้บริหารพระราชทานค่าทดแทนเป็นพระราชกิจวัตร ส่งผลให้สามัญชนเรียกการแข่งขันชิงชัยสมัยนั้นว่า “ฟุตบอลหน้าพระที่นั่ง” และขณะพักผ่อนครึ่งขณะมีการทำให้ทราบ “หมู่ฟุตบอลน่าหัวเราะหลวง” นับเป็นพิธีถูกใจของปวงชนชาวไทยสมัยนั้นเป็นเป็นเป็นอย่างมาก และการแข่งขันฟุตบอลสโมสรครั้งแรกนี้ มีหมู่สมัครเข้าร่วมชิงชัยปริมาณ 12 ทีม ใช้ณ เวลาในการแข่งขันชิงชัย 46 วัน (11 ก.ย.-27 ต.ค. 2458) จำนวน 29 แมตช์ ณ สนามเสือป่า ถนนหน้าพระลาน สวนดุสิต กรุงเทพมหานคร หรือสนามหน้ากองอำนวนการรักษาความไม่มีอันตรายแห่งชาติเดี๋ยวนี้พระองค์รัชกาลที่ 6 ได้ทรงขอความโปรดเกล้าแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการประลองนับว่าฟุตบอลไทยมีระบบในการจัดการมาช้านานนับถึง 72 ปีแล้ว

พัฒนาการก้าวหน้าของฟุตบอลข้างในประเทศได้แผ่ขยายครอบคลุมทั่วประเทศไปสู่สโมสรกีฬา-ต่างจังหวัดหรือชนบทอย่างเร็วทันใจทันใจ ซึ่งเป็นที่นิยมกันทั่วไปภายใต้การช่วยส่งเสริมของรัชกาลที่ 6 และพระองค์ท่านทรงเล็งบ่งชี้ตัวกาลไกลว่าควรจะจะที่ตะตั้งใจกลางหรือสมาคมอย่างมีระบบแบบแผนที่ดี โดยมีคณะกรรมการจัดการสมาคมและทรงมีพระบรมราชโองการจัดตั้ง “สโมสรคณะฟุตบอลสยาม” ขึ้นมาโดยพระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ทรงเล่นฟุตบอลเอง

รัชกาลที่ 6 ได้ทรงมีวัตถุประสงค์ของการตั้งขึ้นสมาคมฟุตบอลแห่งสยามเพราะฉะนั้นคือ

1. เพื่อที่จะให้ผู้เล่นฟุตบอลมีพลานามัยที่บริบูรณ์
2. เพื่อที่จะก่อให้มีการเกิดความสามัคคี
3. เพื่อที่จะที่จะทำให้เกิดไหวพริบ และเป็นกีฬาที่อดออมดี
4. เพื่อเป็นการเรียนรู้วิธีการสำหรับในการรุกและการรับเหมือนกับกองทัพทหารหาญ

จากจุดหมายดังกล่าว นับเป็นสิ่งที่ผลักดันให้สมาคมฟุตบอลแห่งสยามดำเนินกิจการเจริญก้าวหน้ามาจนตราบถึงรายวันนี้ ซึ่งมีกำลังอยู่ช่วงปรับปรุงแก้ไขข้อมูลฉะนั้น

พ.ศ. 2458 (ร.ศ. 134) การประลองตอนชาติครั้งแรกของประเทศไทย เมื่อวันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2458 ณ สนามราชกรีฑาสโมสร (สนามม้าปทุมวันบัดนี้) เวลา “หมู่ชาติสยาม” กับ “กลุ่มราชกรีฑาสโมสร” เฉพาะเจาะจงหน้าพระที่นั่ง และมี “มร.ดักลาส โรเบิร์ตสัน” เป็นผู้ตัดสิน ซึ่งผลการประลองชิงชัยมีความคิดเห็นว่ากลุ่มชาติสยามชนะหมู่ราชกรีฑาสโมสร 2-1 ประตู (ครึ่งแรก 0-0) และครั้งที่ 2 เมื่อวันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2458 เป็นการประลองแข่งตอนชาตินัดที่ 2 แบบเหย้าเยือนต่า หน้าพระที่นั่ง ณ สนามเสือป่าสวนดุสิตและผลบ่งบอกตัวว่า ทีมชาติสยามเสมอไปกับทีมราชกรีฑา coolestguyplanet